TBS234
พระบูชาหลวงพ่อโต วัดอาษาสงคราม
อำเภอ พระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ
หน้าตัก 5 นิ้ว ปี พ.ศ. 2543
ใต้องค์พระฝังเหรียญหลวงปู่เย่อรุ่นสาม และ ล็อกเกตหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม
ประวัติหลวงปู่เย่อ
หลวงปู่เย่อ” มีนามเดิมว่า “เย่อ” นามสกุล “กงเพ็ชร์” เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ โยมบิดาชื่อ “เคอะ” โยมมารดาชื่อ “และ” มีเชื้อสายเป็นชาวรามัญขณะที่ “หลวงปู่เย่อ” อายุได้ ๑๓ ปี บิดา-มารดาได้พาท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรที่ “วัด อาษาสงคราม” โดยท่าน “พระมหาขันธ์” เป็นอาจารย์ให้ศีลและอนุสัยบวชให้จากนั้นก็ได้ศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัยทั้ง ไทยและรามัญ จนมีความชำนิชำนาญสืบมาจนอายุย่างเข้าครบ ๒๐ ปี
จึงอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ โดยมี “หลวงพ่อทอง วัดโมกข์” เป็นอุปัชฌาย์ “พระอาจารย์เกลี้ยง วัดพญาปราบปัจจามิตร” เป็นกรรมวาจาจารย์ได้ฉายาว่า “โฆสโก” แปลว่า “ผู้ มีความกึกก้องกังวาน” หลังจากอุปสมบทแล้วท่านพิจารณาเห็นว่า สิ่งที่จะทำให้ล่วงพ้นความทุกข์ไปได้ นั้นก็คือการมุ่งศึกษาทาง “ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน” จึงแสวงหาอาจารย์ผู้ทรงคุณในทางปฏิบัติโดยเดินทางไปศึกษากับ “หลวงพ่อหลิม วัดทุ่งโพธิ์ทอง” ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีความสามารถทางวิปัสสนาสูงและเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ เชี่ยวชาญทางพุทธเวทวิทยาคมและ “อาจารย์พันธ์ วัดสะกาว” ผู้มีชื่อทางด้านทำ “สีผึ้ง” ที่ดีเด่นทางด้าน “เมตตามหานิยม” ด้วยเหตุนี้มงคลวัตถุขึ้นชื่อของ “หลวงปู่เย่อ” ก็คือ “สีผึ้ง” ซึ่งท่านได้เรียนมาจาก “อาจารย์พันธ์ วัดสะกาว” มาสร้างขึ้นตามตำรับของ “อาจารย์พันธ์” คือใช้ “น้ำมันช้างพลาย” โดยเอาน้ำมันจาก “ช้างพลายที่กำลังตกมัน” ยังบริเวณ “ซอกหูช้าง” (ผู้ที่จะเอาน้ำมันนี้ได้จะต้องมีวิชาสะกดช้างให้หยุดได้ เพราะขณะช้างตกมันจะดุร้ายมากใครเข้าใกล้ไม่ได้) เมื่อได้ “น้ำมันช้างพลายตกมัน” แล้วก็นำมาหุงกับ “สีผึ้งบริสุทธิ์” ซึ่งก่อนจะหุงก็จะต้องปลูก “ต้นบวบ” เสียก่อนกระทั่ง “ต้นบวบออกดอก” มีช่อดอก “๕-๗ ช่อ” จึงจะทำพิธีหุงกวน “สีผึ้งกับน้ำมันช้างพลายตกมัน” ได้และต้องทำพิธีใต้ร้านต้นบวบนั้นจึงจะเข้มขลังมีอานุภาพทางด้านเมตตามหา นิยมและขณะหุงกวนสีผึ้ง “หลวงปู่” จะต้องทำพิธีบริกรรมคาถาเวทมนตร์ประกอบไปด้วย ทุกขณะตาม “ตำราของรามัญ” และทุกขั้นตอนจะต้องอยู่ใน “ฤกษ์ยาม” ที่เป็นมงคลโดย “สีผึ้ง” ที่ทำสำเร็จนี้มีผู้นำไปใช้ แล้วเกิดเห็นผลมากมาย โดยเฉพาะทางด้าน “เมตตามหานิยม” และ “มหาเสน่ห์” ได้ผลทันตาเห็นจนเกิดปัญหายุ่ง ๆ ตามมาคือหลายรายต้องกลับมาให้ “หลวงปู่เย่อ” แก้ไขหลายครั้งหลายหนทำให้ “หลวงปู่เย่อ” ตัดปัญหาไม่ยอมทำสีผึ้งชนิดนี้อีกต่อไป
เหรียญรุ่นแรก” ของ “หลวงปู่เย่อ” เป็นเหรียญ “รูปอาร์มเนื้ออัลปาก้า” ขนาดกว้าง ๒.๗ ซม. สูง ๓.๒ ซม. ด้านหน้าเป็นรูป “หลวงปู่เย่อ” นั่งเต็มองค์แบบสมาธิด้านล่างเขียนว่า “พระครูสังฆวิจารณ์ (เย่อ) อายุครบรอบ ๗๘ ปี” ด้านหลังเป็นรูป “หลวงพ่อโต” ประทับนั่งสมาธิบนบัวคว่ำบัวหงายด้านบนมีสามกลีบและด้านล่างสามกลีบเหนือพระ เศียรหลวงพ่อโตเขียนว่า “หลวงพ่อโต วัดอาษาสงคราม ๒๘ พ.ค. ๐๘” ตรงมุมด้านขวามือ (ของเรา) ข้างเศียร “หลวงพ่อโต” มีรอยลายมือลงเหล็กจารซึ่ง “หลวงปู่เย่อ” ลงของท่านเองซึ่งถือเป็นเหรียญรุ่นแรกที่มีประสบการณ์มากมาย สุดที่จะนำมาพรรณนากันได้หมดเพราะ “หลวงพ่อโต” ที่อยู่หลังเหรียญของท่านองค์นี้เป็น “พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ศิลปะลังกา” มีความงดงาม มากเป็น “พระพุทธรูปโบราณ” ที่ชาวพระประ แดงนับถือมาก
มงคลวัตถุของ “หลวงปู่เย่อ” ท่านสร้างด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษทุกขั้น สร้างด้วยความตั้งใจจริง มีเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งมิได้สร้างเพื่อแสวงหา ผลประโยชน์ ดังนั้นมงคลวัตถุแต่ละอย่างของ “หลวงปู่เย่อ” จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยพุทธานุภาพอย่างเหลือล้น มีประสบการณ์มากมายสามารถคุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน ให้แคล้วคลาดปราศจากภัยต่าง ๆ ได้อย่างวิเศษ ซึ่งรายละเอียดของประสบการณ์จึงไม่อาจจะนำมาเสนอได้หมด เพราะมีมากมายจึงขอยกแต่เพียงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งซึ่งหนังสือพิมพ์
“อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” ฉบับวันที่ ๑ ต.ค. ๒๕๒๐ ได้เสนอเป็นข่าวไว้ว่า “จ.ส.ต.ทองอินทร์ มณีรัตน์” บุกเดี่ยวจับโจรแล้วถูกโจรยิง “๖ นัด” แต่กระสุนไม่เข้าเพราะมีเหรียญ “หลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม” โดยเนื้อหาในข่าวรายงานว่า “จ.ส.ต.ทองอินทร์” เป็นตำรวจอยู่ที่ อ.พระประแดงได้ไล่จับ “โจรปล้นรถสองแถว” จำนวน ๓ คน เพียงลำพังจึงถูกโจรยิงกระหน่ำกระสุนถูกบริเวณ “หน้าอก” ของ “จ.ส.ต.ทองอินทร์” ทั้ง ๖ นัด ทว่าไม่ได้ระคายผิวของ “จ.ส.ต.ทองอินทร์” แต่ประการใด
“หลวงปู่เย่อ” นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม มีความกรุณาต่อทุกคนที่ไปกราบไหว้ท่านโดยเสมอหน้ากัน ท่านเป็นผู้มีอารมณ์ดีเจรจาปราศรัยด้วยความเป็นกันเอง และไม่เคยอวดอ้างความเก่งกล้าใด ๆ ให้ใครรู้เห็น มีแต่คอยสั่งสอนอบรมศีลธรรมแก่ทุก ๆ คนที่ไปหาให้หมั่นทำคุณงามความดีต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ “พัดยศสีขาวฝ่ายวิปัสสนา” ในนาม “ พระครูสังฆวุฒาจารย์ ” หลวงปู่เป็นที่ศรัทธาของประชาชนจำนวนมากมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ “๙๔ ปี” จึงมรณภาพเมื่อ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๔ ด้วยโรคชราท่านจากไปท่ามกลางความอาลัยของบรรดาศิษยานุศิษย์ คงทิ้งไว้แต่คุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสรรค์ไว้เป็นอนุสรณ์