TBS234
พระบูชาพระอินทร์แปลง
หน้าตัก 5 นิ้ว ปี 2552
วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร
อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เสริมสิริมงคล
พระประธานในพระอุโบสถ ๒ องค์
สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ทรงสร้างพระประธานครอบองค์เก่าที่ดั้งเดิมเป็นทองคำ
ใน พ.ศ. ๒๓๗๑ พระประธานองค์ที่ ๑ พระเพลา ๒.๙๐ เมตร สูงตลอดพระรัศมี ๔ เมตร
พระประธานองค์ที่ ๒ เป็นพระพุทธรูปโลหะ อัญเชิญจากวังจันทรเกษม จังหวัดอยุธยา
มาประดิษฐานเมื่อวันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๑ พระเพลา ๗๔ เซนติเมตร
สูงตลอดพระรัศมี ๑๐๙ เซนติเมตร พระนามว่า รูปพระอินทร์แปลง เป็นพระพุทธรูป
เก่าแก่อันเชิญมาจากพระราชวังจันทร์เกษม ภายในวัดมีพระตำหนัก แดงและพระที่นั่งหมู่มณเฑียร
ประวัติวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร
เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ถูกทิ้งร้างไปนานจนถึงสมัยกรุงรัตน
โกสินทร์ ในรัชกาลที่ ๒ กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์บรมราชินี ทรงปฏิสังขรณ์บำเพ็ญ
พระกุศลเป็นอันมาก เรียบร้อยแล้วให้ฉลองสมโภช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๑ และขนานนามว่า “วัดเขมา”
ต่อมารัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ ในวันพุธ ขึ้น ๔ ค่ำ
เดือนยี่ ตรงกับวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๖ ได้เสด็จฉลองวัดเขมาภิรตาราม แล้วพระราชทาน
นามว่า “วัดเขมาภิรตาราม” ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญ คือ พระตำหนักแดง อนุสรณ์กรม
สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งเดิมเป็นพระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง
รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชอุทิศ ให้รื้อมาปลูกในวัดนี้
เป็นวัดโบราณมีมาก่อนสมัยอยุธยา ต่อมาแผ่นดินพระเจ้าอู่ทอง
เดิมเรียกสั้นๆ“วัดเขมา” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่าเป็นวัด
ที่ชาวเขมรมาสร้างไว้ และเอานามเขมรมาตั้งชื่อ คำว่า เขมา หรือเขมะ หรือเขมะรัฐ แปลว่า
เขมรนั่นเอง วัดเขมาอายุนานมากกว่า ๕๐๐ ปี พระเจ้าอู่ทอง(พระรามาธิบดีที่ ๑) ทรงปฏิสังขรณ์
จึงเป็นวัดที่สำคัญขึ้น คือเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
พระมหากษัตริย์ ยังทรงอุปถัมภ์ และสังกัดในบัญชีกฐินหลวงของวังหน้า (กรมพระราชวังบวรฯ)
มาจนถึงรัชกาลที่ ๒ กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ว่าวัดเขมาเป็นวัดใหญ่ ทรงขอมาอยู่
ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และได้ทรงปฏิสังขรณ์จนสำเร็จ ให้ข้าฯในกรมขุดรากฐานพระอุโบสถ
ขยายออกไปให้กว้าง และถมพื้นพระอุโบสถให้สูงขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
และกรมพระราชวังบวรฯรับสั่งให้ก่อพระประธานสวมองค์เก่าบูรณะพระพุทธรูปทั้งหมด
ก่อกำแพงสร้างศาลาการเปรียญ เรียบร้อยแล้วบำเพ็ญกุศลสมโภช เมื่อปีชวด สัมฤทธิศก ๑๑๙๐
(พ.ศ. ๒๓๗๑) ต่อมาปีกุน ตรีศก ๑๒๑๓(พ.ศ.๒๓๙๔)รัชกาลที่ ๔ ทรงรับสั่งให้ปฏิสังขรณ์
ทั้งพระอาราม ขุดคูรอบวัด สร้างพระอสีติมหาสาวกล้อมพระประธาน สมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดให้มี
การบูรณะปฏิสังขรณ์อีก เมื่อสิ้นรัชกาลก็ขาดตอนลง การบูรณะปฏิสังขรณ์ ทำตามกำลัง
ความสามารถของบรรดาเจ้าอาวาส และพุทธศาสนิกชนทั่วไป