TBS234
พระบูชา หลวงพ่อดาวดึงษ์ วัดดาวดึงษาราม
หน้าตัก 9 นิ้ว (เนื้อทองเหลืองรมดำ)
บางพลัด กรุงเทพมหานคร เสริมสิริมงคลชีวิต
พระพุทธรูปบูชา หลวงพ่อดาวดึงษ์รุ่นแรก แห่งประวัติศาสตร์การจัดสร้างในรอบ 200 ปี
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม
เจ้าคณะใหญ่หนกลาง อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม
เป็นประธานในพิธีเททองเมื่อวันอังคาร ที่ 15 มิถุนายน 2553 เวลา 17.00 น ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8
วัดดาวดึงษาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่ ตั้งอยู่เลขที่ ๘๗๒ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
บริเวณที่ตั้งวัดอยู่ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกประมาณ ๒๐๐ เมตร และใกล้กับตอนใต้ปากคลองบางยี่ขัน มีถนนเข้าถึงวัดจากถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แล้วแยกเข้าซอยวัดดาวดึงษารามบริเวณเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฝั่งธนบุรี อาณาบริเวณใกล้เคียงกับวัดดาวดึงษารามเป็นที่ตั้งของวัดบางยี่ขัน วัดจตุมิตรประดิษฐาราม และวัดพระยาศิริไอยสวรรค์ มีทางเดินเชื่อมถึงกันทุกวัด และมีทางเดินไปยังฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
มีการแบ่งเขตพุทธาวาสแยกจากเขตสังฆาวาสชัดเจน
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับวัดจตุรมิตรประดิษฐาราม
ทิศใต้ ติดกับที่ดินเอกชน
ทิศตะวันออก ติดที่ดินของวัดจตุรมิตรประดิษฐาราม
ทิศตะวันตก ติดกับที่ดินเอกชน ประวัติความเป็นมา การก่อสร้าง และการบูรณปฏิสังขรณ์
วัดดาวดึงษาราม เป็นวัดที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตามตำนานว่า เจ้าจอมแว่น พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๑ สร้างขึ้นทำด้วยเสาไม้แก่น พระอุโบสถก่ออิฐสูงพ้นพื้นดินประมาณ ๒ ศอก มีไม้แก่นเป็นเสาประกอบหลังคาหลังคามุงกระเบื้อง ฝาผนังเป็นไม้สัก มีบานประตูหน้าต่าง และได้นิมนต์พระอธิการอิน ผู้เชี่ยวชาญ ทางวิปัสสนาธุระมาเป็นครองวัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดขรัวอิน” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ข้าราชการฝ่ายในขื่ออิน ซึ่งเป็นญาติของเจ้าจอมแว่นได้ปฏิสังขรณ์วัดนี้ ได้รื้อกุฏิก่อเป็นตึก ใช้ไม้แก่นเป็นเสาประธาน หลังคามุงกระเบื้อง ฝาไม้ไผ่ขัดแตะถือปูน มีประตูหน้าต่าง รื้อฝาฝนังและเครื่องหลังคาพระอุโบสถที่เป็นไม้ออก ก่อฝาฝนังอิฐและมุงกระเบื้องหลังคาใหม่ มีช่อฟ้าใบระกา เป็นพระอุโบสถขนาดเล็ก เหตุด้วยผู้ครองวัดและผู้ปฏิสังขรณ์วัดมีนามเดียวกันว่า “อิน” พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงพระราชทานนามวัดนี้ว่า “วัดดาวดึงษาสวรรค์”อันหมายถึง สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ที่พระอินทร์สถิต
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยามหาเทพ (ทองปาน) ซึ่งเป็นตระกูลปาณิกบุตร ได้บูรณปฏิสังขรณ์รื้อกุฏิเก่าทั้งหมด สร้างกุฏิหมู่หนึ่งเป็นตึก ๔ หลัง กุฏิไม้อีก ๓ หลัง พร้อมทั้งสร้างหอสวดมนต์ หอฉันเป็นกัปปิยกุฏิอีก ๑ หลัง นอกจากนั้นได้ซ่อมแซมและก่อสร้างสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญอีก คือ รื้อพระอุโบสถเดิม สร้างพระอุโบสถใหม่ ก่ออิฐถือปูน พื้นปูด้วยหินอ่อน ผนังภายในพระอุโบสถถือปูนและเขียนภาพจิตรกรรม หลังคาทำเป็นมุขลด ๒ ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ประดับกระจก สร้างพระประธานปางสมาธิ มีสาวก ๒ องค์อยู่เบื้องหน้าทั้งด้านซ้ายและด้านขวา กำแพงแก้วทำเป็น ๒ ชั้น กำแพงแก้วชั้นในเชื่อมระหว่างซุ้มเสมา กำแพงแก้วชั้นนอกมีเจดีย์บนมุมกำแพง และมีซุ้มประตู ๔ ด้าน สร้างเป็นศาลาจตุรมุข หลังคามุงกระเบื้องสี หน้าพระอุโบสถสร้างศาลาดินทำเป็นศาลาการเปรียญ ๑ หลัง สร้างศาลารายด้านเหนือและด้านใต้ด้านละ ๑ หลัง เก๋งเล็ก ๆ อีก ๔ หลัง และสร้างกำแพงล้อมศาลา มีซุ้มประตูเข้าออก ๔ ด้าน ขุดคลองระหว่างพระอุโบสถกับกุฏิ ปากคลองอยู่ด้าสนตะวันออกเฉียงใต้จดแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านตะวันตกเฉียงเหนือจดคลองบางยี่ขัน ขุดสระ ๒ สระ และทำสะพานถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ๑ สะพาน จากนั้นได้น้อมเกล้าฯถวายเป็นพระอารามหลวง และได้รับพระราชทานเปลี่ยนนามใหม่ว่า “วัดดาวดึงษาราม”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการรื้อศาลาปูนรอบพระอุโบสถ และสร้างหอระฆังใหม่แทนหอระฆังเก่าที่ชำรุดหักพัง จากนั้นได้ปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมกุฏิและหอฉัน ต่อมาสภาพวัดทรุดโทรมเกือบเป็นวัดร้าง บางปีเหลือเจ้าอาวาสอยู่เพียงรูปเดียว คือ พระครูปริยัติโกศล (กล่ำ)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการซ่อมแวมสิ่งปรักหักพังบางอย่างบ้าง และมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษามากขึ้น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๗๕ มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ โดยรื้อตัวไม้และกระเบื้องบนหลังคาเฉลียงที่หักพัง ซ่อมแซมเครื่องไม้หลังคา และเฉลียงด้านหน้ากับด้านหลัง ทำกันสาดสังกะสีเหนือขอบประตูและหน้าต่างกันฝน ซ่อมพื้นขอบหน้าต่าง และต่อมาได้สร้างคารัว ศาลาท่าน้ำ ขุดบ่อน้ำ ซ่อมหอระฆัง ศาลาการเปรียญ และกุฏิ
ในรัชกาลปัจจุบัน มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ เนื่องจากหลังคาพระอุโบสถชำรุดทรุดโทรมมาก เมื่อฝนตกภายในพระอุโบสถเปียกจนทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังชำรุดเลอะเลือน สมเด็จพระสังฆราช วัดเบญจบพิตร ทรงเป็นประธานดำเนินการ คุณหญิงกลาโหมราชเสนา (มิ กลาโหม) เป็นผู้บริจาคเงิน พระอุโบสถได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่จนงดงาม แล้วจึงได้บูรณะกำแพงแก้วชั้นนอกและศาลาจตุรมุข ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้สร้างหอประชุมก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น จากนั้น ได้สร้างถาวรวัตถุอื่น ๆ อีก เช่น กำแพงด้านหลังศาลาการเปรียญ กุฏิ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดดาวดึงษาราม (นวลแข ชินะประภา) มณฑปหลวงปู่โว พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อสร้างหอสวดมนต์ก่ออิฐถือปูน
หลวงพ่อดาวดึงษ์ วัดดาวดึงษาราม
พระพุทธปฏิมากรที่ประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถ เป็นพระพทธรูปปั้นด้วยปูน ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๔ ศอก สูงประมาณ ๕ ศอก ลงรักปิดทอง
พระพุทธรูปองค์นี้ ทำพุทธลักษณะตามขนบนิยมของช่างปั้นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปั้นขึ้นสำหรับเป็นพระประธานในอุโบสถหลังเดิม อยู่ต่อมากระทั่งอุโบสถหลังนั้นชำรุดทรุดโทรมต้องรื้อลง แล้วพระมหาเทพ (ทองปาน) จัดการสร้างอุโบสถหลังใหม่ ณ ที่ตั้งอุโบสถเดิม จึงได้เชิญพระทธรูปที่เป็นพระประธานมาประดิษฐานในอุโบสถหลังใหม่ หรือพระประธานในอุโบสถที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นพระพุทธรูปซึ่งพระมหาเทพ (ทองปาน) จักากรหาช่างปั้นมาปั้นขึ้นใหม่สำหรับเป็นพระประธานในอุโบสถที่ขุนนางผู้นี้ จัดการสร้างขึ้นใหม่ ความเรื่องนี้ไม่มีหลักฐานให้ทราบ