TBS234
พระบูชาหลวงพ่อพระพุทธแซกคำ
หน้าตัก 9 นิ้ว (เนื้อทองเหลือง)
วัดคฤหบดี กรุงเทพมหานคร เสริมสิริมงคลชีวิต
หลวง พ่อแซกคำ เป็นพระประธานในพระอุโบสถหลวงวัดคฤหบดี มีประวัติการได้มาประดิษฐานที่วัดนี้ว่า ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระยาราชมนตรีฯ ซึ่งมีนิวาสถานไปพำนักที่แพข้างวังหลวง จึงอุทิศที่อยู่เดิมสร้างเป็นวัดแล้วทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รับเข้าไว้เป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า “วัดคฤหบดีอาวาส” ในสมัยนั้นพระยาราชสุภาวดี (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) เป็นแม่ทัพ เสร็จจากศึกปราบกบฏเวียงจันทน์แล้วได้ยึดทรัพย์สมบัติกลับเข้ากรุงเทพรัตน โกสินทร์มากมาย รวมทั้งพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระแซกคำ ซึ่งรอดหูรอดตาจากคราวเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกตีลาวในรัชสมัยของพระเจ้ากรุง ธนบุรี
พระแซกคำ เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองนพคุณ (ทองคำโบราณ) ศิลปะแบบเชียงแสนยุคปลาย (พ.ศ.1600-1800) ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตักกว้าง 18 นิ้ว ที่เรียกว่า เชียงแสนสิงห์สาม โดยดูจากพระเศกเป็นช่อเปลวงเพลิงถอดได้ ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี มีอายุราว 900 กว่าปี
ฉะนั้นเมืองไทยได้พระแซกคำกลับมาจากลาว จึงมิใช่ข้อยุติที่ว่าพระแซกคำเป็นของลาว มาจากลาวหลวงพระบาง ดังที่มีผู้เข้าใจกันตลอดมาจนเขียนเรื่องของพระแซกคำคู่กันไปกับประวัติ ราชวงศ์ของอาณาจักรล้านช้างร่มขาว ทั้งๆ ที่พุทธศิลป์แห่งองค์หลวงพ่อแซกคำก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นศิลปะเชียงแสนอัน เป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยชัดๆ
ประวัติหลวงพ่อแซกคำที่เคยได้ยินผู้ที่อาวุโสทั้งภิกษุและฆราวาสเล่าให้ฟังเล็กน้อย มาเล่าให้ท่านอ่านแล้วพิจารณากัน
“เมื่อประมาณปี 2500 พระเดชพระคุณ พระญาณรังษี อดีตเจ้าอาวาสวัดคฤหบดี ในขณะนั้นมีสมศักดิ์เป็น พระครูธรรมาภิรมย์ จมื่นเหินเวหา , พระอนุสิฐวิบูลย์, นายช่างวัน ขณะควบคุมการก่อสร้าง โรงเรียนวัดคฤหบดี (จันทรสถิตย์) ได้ปรารภถึงประวัติหลวงพ่อแซกคำกันว่า ผู้ใดเป็นผู้สร้างกันแน่ ผู้เขียนขระนั้นเป็นเด็กได้เข้าไปรับใช้วงสนทนาวงนี้ได้ยินเรื่องประวัติ หลวงพ่อแซกคำ ดังนี้
ใกล้ๆ จะเห็นผิวพระพุทธรูปเป็นทองคำนพคุณแท้จริง ดูเหมือนว่า มาจากเวียงจันทน์ จริงๆ แต่มารู้ว่า มีอายุราว 900 ปี ในสมัยสุโขทัยตอนปลายถึงสมัยพระนางจามเทวีสร้างเมืองหริญภุชัย
พระนางจามเทวี พระธิดาของกษัตริย์แห่งอาณาจักรลาวปุระได้ไปเป็นนางกษัตริย์ครองเมืองหริภุญ ชัย จากการที่ห่างบ้านเมืองมาทำให้พระนางรำลึกถึงพระคุณแม่พระชนกชนนี ที่พระนางมิสามารถปรนนิบัติทดแทนพระคุณ ต่อบุพการีทั้งสองเยี่ยงบุตรธิดาผู้มีกตัญญูเวทีตาทั้งหลาย พระนางจึงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระพุทธรูปขึ้น 2 องค์ เพื่อบูชาพระคุณพระชนกพระชนนี และอีกองค์หนึ่งเพื่อเป็นการฉลองพระองค์ ดังนั้น จึงให้สร้างมณฑลพิธีติดราชวัตรฉัตรธง โปรดให้ช่างหลวงปั้นหุ่นพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ เห็นว่าสวยงามเป็นที่พอพระทัยก็ให้หล่อด้วยทองชาตินพคุณ ทั้ง 3 องค์ ครั้นรุ่งขึ้นให้นายช่างถอดแบบตกแต่งพระ ปรากฏว่าพระทั้ง 3 องค์สวยงามอย่างไม่มีที่ติ ทรงมีพระโสมนัส พระราชทานนามว่า พระเสริม พระสุก พระใส ถวายแด่พระทั้ง 3 องค์ และให้มีการสมโภช 3 วัน 3 คืน ถวายเป็นพุทธบูชา องค์ใดที่สร้างด้วยทองคำ มีพุทธลักษณะถึงพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะ และสวยงามกว่าพระพุทธรูปที่ทรงสร้างขึ้นทั้ง 3 องค์ แล้วขอให้เทพยดาผู้ทรงมเหสักข์ โปรดแสดงซึ่งพระพุทธรูปนั้นแก่พระองค์ ณ มหาสโมสร เมื่อตั้งสัตยาธิษฐานแล้วจึงเสด็จกลับ
รุ่งขึ้นเช้าวันที่ 4 เสด็จพระราชดำเนินมายังมณฑลพิธี เพื่อทรงเปิดงานสมโภช ขณะกำลังนมัสการพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์อยู่นั้น ทั่วทั้งมณฑลพิธีนั้นก็ปรากฏหมอกควันคลุมไปทั่ว ต่อมาก็มีแสงสีทองส่องมาไล่หมอกควันให้หมดไป บริเวณนั้นก็โชติช่วงไปด้วยแสงทอง พลันก็ปรากฏพระพุทธรูปทององค์หนึ่งลอยมาจากนภากาศ ค่อยๆ ชะลอลงมายังบริเวณมณฑลพิธีเข้าประดิษฐานแทรกอยู่ ณ ท่ามกลางแห่งพระพุทธรูปทั้ง 3 พระองค์ พระพุทธรูปทององค์นี้ถูกต้องตามตำรามหาปุริสลักษณะและสวยงามมาก เมื่อมาแสดงปาฏิหาริย์ปรากฏต่อพระพักตร์พระนางจามเทวีและชนทั้งหลาย ณ มหาสโมสรนั้น สมดังสัตายาธิษฐาน พระนางก็ทรงโสมนัส ให้มีพิธีสมโภชพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์ต่อไป รวมเป็น 9 วัน 9 คืน และด้วยเหตุที่พระพุทธรูปที่ลอยมาจากเบื้องนภากาศ และเข้าประดิษฐานแทรกอยู่กลางพระพุทธรูปอีก 3 องค์ จึงพระราชทานนามว่า “พระแซก” แต่เนื่องจากเป็นทองจึงมีชื่อต่อว่า คำ เป็นนามว่า “พระแซกคำ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ตลอดมา เป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป เชื่อกันว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์”
วัดคฤหบดี วัดขนาดใหญ่ที่ซ้อนตัวอยู่ในสวนเดิมแถบบางยี่ขัน เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดย พระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่) ข้าราชการกรมพระคลังมหาสมบัติในรัชการที่ ๓ ซึ่งยกที่ดินอันเป็นนิวาสถาน เดิมของตนสร้างขึ้นและได้รับพระราชทานนาม วัดอันมีความหมายว่าวัดผู้มีฐานะอันร่ำรวย ซึ่งคงเป็นจริงดังนั้น เพราะท่านผู้นี้เป็นผู้ใกล้ชิด และมีส่วนสำคัญในพระราชกรณียกิจด้านการค้าสำเภาของพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าฯ เหตุที่พระยาราชมนตรีอุทิศบ้านสร้างวัดก็เพราะได้รับพระราชทาน บ้านหลวงให้อยู่ในบริเวณใกล้พระราชวัง เมื่อสร้างวัดคฤหบดีแล้ว ท่านได้รับพระราชทานพระพุทธรูปทองคำล่ำค้าองค์หนึ่งให้ ประดิษฐานให้เป็นพระประธานในอุโบสถ พระพุทธรูปองค์นี้คือ พระแซกคำ (หรือบางแห่งเขียนพระแทรกคำ) พระพุทธรูปไม่ใหญ่โตนักแต่มีค่าควรเมือง
พระแซกคำเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่เป็นที่เคารพบูชาองค์นี้ว่า "เสด็จมาโดยอากาศ" ในรัชการพระเจ้าโพธิสารแห่งล้านช้าง และเป็นพระพุทธรูปที่ประวัติเกี่ยวข้องกับพระแก้วมรกตมาตลอด
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญ พระแก้วมรกตมาจากนครเชียงใหญ่ กลับไปยังล้านช้าง ซึ่งตรงกับช่วงกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ทรงประดิษฐานพระแก้วมรกตไว้คู่กับพระแซกคำองค์นี้ ต่อมาเมื่อทรงย้ายพระราชธานีจากหลวงพระบางลงมายังเวียงจันทน์ ก็โปรดให้เชิญพระแก้วมรกต พระบางและพระแซกคำ ลงไปประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ด้วย พระแซกคำจึงนับเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญองค์หนึ่งยิ่ง
ในรัชการที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปทำศึกเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญพระแซกคำกลับมาถวายสมเด็จพระนั่งเกล้าพระเจ็าอู่ยหัว โปรดฯ ให้ประดิษฐานไว้ที่ฐานชุกชีที่วัดอรุณราชวรารามซึ่งเคยประดิษฐานพระแก้วมรกต เมื่อครั่งกรุงธนบรีนัยว่าเพราะพุทธลักษณะคล้ายกันมาก ผิดตรงที่พระแซกคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างด้วยทองลูกบวช ซึ่งใช้วิธีหล่อ มิใช่แกะสลักเช่นพระแก้วมรกตจึงทำให้ลวดลายคมชัดยิ่งกว่า ต่อมาพระยาราชมนตรี(ภู่) ต้นสกุลภมรมนตรี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งยังทรงกรมสร้างวัดคฤหบดีขึ้นน้อม ถวายเป็นราชอารามหลวง พระบาทพระนั่งเกล้าฯ จึงได้พระราชทานพระแซกคำไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถดังกล่าว
พระแซกคำเป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากองค์ ผู้ใดมีความทุกร้อนก็มักไปกราบไหว้บนบาน ของที่นิยมถวาย ได้แก่ ข้าวเหนียว ลาบเนื้อ ปลาร้า ไข่เป็ด ๑๐๐ ฟอง พวงมาลัยและทองคำเปลว ส่วนมหรสพที่ถวายมักเป็นละครชาตรี หมอลำ หรือแอ่วลาว