TBS234
พระบูชาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดนาโคก
สูง 17 นิ้ว จากฐานถึงพระเกศ (เนื้อทองเหลือง)
ตำบล นาโคก อำเภอ เมือง
จังหวัด สมุทรสาคร เสริมสิริมงคลชีวิต
ประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์
ใน สมัยต้นกรุงธนบุรี ชาวบ้านละแวกตำนลนาโคก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำนาเกลือกัน วันหนึ่งชาวบ้านนาโคก 2 คน ได้ขนเกลือลงเรือเพื่อนำขึ้นไปแลกข้าวทางเหนือ ในครั้งนั้นได้ขึ้นมาแลกข้าวจนถึงเขต จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกำลังเดินทางกลับยังภูมิลำเนา ระหว่างทางได้แวะจอดเรือไว้ริมตลิ่ง แล้วเข้าไปในป่าเพื่อหาฟืนมาหุงข้าวทำอาหาร ได้เดินลึกเข้าไปจนถึงวัดร้างแห่งหนึ่งแล้วได้พบพระพุทธรูป 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย ทำด้วยหินแดงมีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 20 นิ้ว ส่วนอีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปประทับยืน ปางห้ามสมุทร ทรงเทริด สมัยอยุธยา
เมื่อทั้งสองคนเห็นดังนั้น จึงเข้าไปกราบนมัสการด้วยความเคารพ จากนั้นจึงพากันเดินหาฟืน แต่เมื่อจะเดินกลับออกมาจากป่า ก็ประสบเหตุการณ์อัศจรรย์ คือ ไม่อาจหาทางออกไปยังบริเวณที่เรือจอดอยู่ได้ จึงเดินไปเดินมาแล้วก็วกกลับมายังบริเวณวัดร้างนั้นอีก ในที่สุดชายทั้ง 2 คน จึงปรึกษากันว่า เหตุที่พวกเราต้องเดินวกกลับมายังวัดร้างแห่งนั้น หลายครั้ง อาจจะเป็นเพราะอิทธิปาฎิหาริย์ของพระพุทธรูปทั้งสององค์นั้นก็ได้ หากพวกเรานำพระพุทธรูปทั้งสององค์กลับไปด้วยคงไม่หลงทางแน่ จึงได้กราบอธิษฐานขอให้พระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ มีน้ำหนักเบาพอที่จะแบกกลับไปยังเรือได้ เมื่ออธิษฐานจบคนหนึ่งตรงเข้าไปแบกพระพุทธรูปประทับยืนขึ้นบ่า อีกคนเข้าไปแบกพระพุทธรูปนั่ง ซึ่งปรากฎว่าสามารถยกขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งสองจึงได้แบกพระพุทธรูปเดินกลับมายังบริเวณที่จอดเรืออยู่ และได้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดนาโคก โดยท่านเจ้าอาวาสวัดในสมัยนั้น ได้นำพระพุทธรูปทั้งสององค์ไปประดิษฐานไว้บนหอไตรจนเวลาฝ่านไปหลายปี ทำให้ลืมไปว่าที่หอไตรนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ 2 องค์
จน กระทั่งวันหนึ่ง ที่หมู่บ้านนาโคก มีการแก้บนศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน จึงมักมาบนบานศาลกล่าวกันอยู่เสมอ ครั้นสำเร็จผลตามที่บนบานไว้ ก็จะมาทำการแก้บนด้วยการละเล่นต่าง ๆ ทั้งลิเก ละคร แต่สำหรับวันนั้นการแก้บนที่จัดขึ้นดูยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ ครั้ง สถานที่บริเวณศาลเจ้าจึงไม่เพียงพอต่อการที่จะจัดงาน ดังนั้น ทางผู้จัดพิธีแก้บนจึงมาขอใช้พื้นที่ของวัดนาโคก
ครั้น ได้เวลาของการแสดงลิเกและละครชาตรี ก็บังเกิดปาฎิหาริย์ คือพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร ซึ่งประดิษฐานไว้บนหอไตร ได้เสด็จมาอยู่ข้างล่างโดยมิได้มีใครนำลงมา ต่างเป็นที่ตกตะลึงของผู้พบเห็น คณะลิเกและละครชาตรีที่มาทำการแสดงแก้บนในวันนั้น ต่างก็เกิดอาการจุกเสียดแน่นท้องจนไม่สามารถจะทำการแสดงได้ คนเฒ่า คนแก่ที่เห็นเหตุการณ์จึงฉุกคิดได้ว่า การที่พระพุทธรูปเสด็จลงมาได้นั้น เห็นจะเป็นด้วยปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปจึงได้บอกกล่าวให้จุดธูปเทียนบูชา สักการะและทำการขอขมาลาโทษเสีย จึงทำให้อาการจุกเสียดเหล่านั้นหายไป นับแต่บัดนั้นมา ชาวบ้านนาโคกและชาวบ้านใกล้เคียงจึงให้ความเคารพศรัทธา และพากันมากราบไหว้ สักการะ พระพุทธรูปองค์นี้ และขนานนามองค์พระพุทธรูปนั้นว่า " หลวงพ่อสัมฤทธิ์" เพราะ เหตุที่ว่าเป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยสัมฤทธิ์นั่น เอง
ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ยังกล่าวไว้อีกว่า เมื่อครั้งที่ชายหนุ่ม 2 คน จากบ้านนาโคก ได้อาราธนาพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์นี้มาจากอยุธยา พระเพลาข้าง หนึ่งเกิดชำรุด ต่อมาเจ้าอาวาสวัดลาดเป้ง ซึ่งเป็นสหธรรมิกของเจ้าอาวาสวัดนาโคก โดยวัดทั้งสองตั้งอยู่ในถิ่นที่ใกล้เคียงกัน ทางวัดลาดเป้งได้จัดให้มีพิธีการหล่อระฆังขึ้น พร้อมกันนั้นก็ได้นำ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ไปทำการซ่อมพระเพลาด้วย แต่ก็ไม่สามารถเททองซ่อมได้ ต้องนำเศียรตั้ง ลงดิน คนเฒ่าคนแก่ จึงได้ให้ช่างเททองทำการสักการบูชา ขอขมาลาโทษเสียก่อน จึงสามารถเททองซ่อมพระเพลาได้เป็นผลสำเร็จ แต่หลังจากที่เททองซ่อมพระเพลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางวัดลาดเป้งก็ไม่ได้นำหลวงพ่อสัมฤทธิ์กล้บมาประดิษฐานไว้ที่วัดนาโคกตาม เดิม แต่ยังคงประดิษฐานหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ที่วัดลาดเป้ง จนกระทั่งเจ้าอาวาสวัดทั้งสองมรณภาพ ชาวบ้านนาโคกจึงได้รวมตัวกันไปทวงคืนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ แต่ทางวัดลาดเป้งไม่ยอมคืนให้ จนในที่สุดทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันว่า ถ้าฝ่ายไหนสามารถยกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ขึ้นด้วยกำลังคนเพียงคนเดียว ฝ่ายนั้นก็จะมีสิทธิ์ครอบครองหลวงพ่อสัมฤทธิ์องค์นี้ ปรากฎว่า ฝ่ายชาวบ้านนาโคก เป็นฝ่ายยกพระพุทธรูปขึ้นและได้สิทธิ์ครอบครอง จึงพากันแห่องค์หลวงพ่อสัมฤทธิ์กลับมาไว้ยังวัดนาโคก ตามเดิม หลวงพ่อสัมฤทธิ์ จึงประดิษฐานอยู่ที่วัดนาโคก นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้