กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ขณะนั้นพระองค์ดำรงพระราชอิสริยยศ เป็น กรมหมื่นศักดิพลเสพ มี ความเป็นมาตามพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
“ในคราวเมื่อสร้างป้อมเมืองสมุทรปราการ ทรงพระราชดำริว่า ป้อมที่สร้างขึ้นที่เมืองนครเขื่อนขันธ์** แต่ก่อนก็ยังค้างอยู่ ไม่สำเร็จสมบูรณ์ จึงโปรดฯให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ เป็นแม่กองทำการสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ที่ยังค้างอยู่ ให้สร้างป้อมขึ้นอีกป้อมหนึ่ง ชื่อป้อมเพชรหึง และให้ขุดคลองลัดหลังเมืองนครเขื่อนขันธ์คลองหนึ่งมาทะลุออกคลองตาลาว คลองลัดที่ขุดใหม่นี้ เมื่อขุดกว้าง 6 วา ลึก 5 ศอก ยาว 50 เส้น กรมหมื่นศักดิพลเสพ ทรงสร้างวัดขึ้นในคลองลัดที่ขุดใหม่นี้วัดหนึ่ง…..”
วัดนี้คงรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 3 มีหลักฐานว่าได้รับการบูรณะในสมัยนี้ และลักษณะทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมหลายอย่างบ่งบอกว่าเป็นแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เห็นได้ชัดเจนคือ อุโบสถ และวิหาร วัดนี้ได้รับการบูรณะแล้ว แต่ยังคงรูปแบบเดิมไว้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า “เมื่อแรกสร้างในรัชกาลที่ 2 เห็นจะเรียกว่า “วัดกรมศักดิ์” หรือ “วัดปากลัด” ถึงรัชกาลที่ 3 คนทั้งหลายก็คงเรียกว่า “วัดวังหน้า” และวัดนี้ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “ วัดไพชยนต์พลเสพย์ ” พระวินิจฉัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ว่ารัชกาลที่ 4 ทรงขนานนามวัดนี้ก็น่าจะดูเป็นจริง เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงชำนาญในทางอักษรศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง พิเคราะห์คำว่า “ไพชยนต์” ดูหมายจะเอาบุษบกนั้นเป็นนิมิต และคำว่า “พลเสพย์” มาแต่สร้อยพระนามของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ซึ่งถวายบุษบกนั้น”ส่วนที่มีคำว่า “ราชวรวิหาร” นั้น เป็นไปตามทำเนียบพระอารามหลวง ชนิดชั้นโท ในภายหลัง
วัดไพชยนต์พลเสพย์เมื่อแรกสร้าง กรมหมื่นศักดิพลเสพ คงจะได้เป็นพระธุระอุปการะมาตลอด และเมื่อกรมหมื่นศักดิพลเสพ ได้ทรงดำรงตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 วัดนี้ก็คงจะมีความสำคัญมากขึ้นและคงจะมีฐานะเป็นพระอารามหลวงในรัชกาลนี้ ประกอบทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชนิยมในการสร้าง วัด ถึงกับมีคำพังเพยเล่าสืบต่อกันมาว่า “ในรัชกาลที่ 1 ใครรบทัพจับศึกเก่ง ก็เป็นคนโปรด ในรัชกาลที่ 2 ใครเป็นนักเลงกลอน ก็เป็นคนโปรด ในรัชกาลที่ 3 ใครสร้างวัดวาอาราม ก็เป็นคนโปรด” เพราะฉะนั้น วัดไพชยนต์พลเสพย์ ก็คงจะรุ่งเรืองมากในรัชกาลที่ 3 นี้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอยู่ในหมายรับสั่ง รัชกาลที่ 3 เรื่องการบูรณะซ่อม-แซมพระอารามนี้ว่า “มีรับสั่งให้เอาทองคำเปลว ไปจ่ายให้ช่างรักปิดเสาเม็ดราวเทียนในพระอุโบสถ กระจังเสามุขเด็จหน้าหลังพระวิหารใหญ่”ในรัชกาลต่อ ๆ มาไม่มีหลักฐานว่าวัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์หรือไม่”
**เมืองนครเขื่อนขันธ์ นี้ตัดเอาท้องที่แขวงกรุงเทพฯบ้าง แขวงเมืองสมุทรปราการบ้าง รวมกันตั้งขึ้นเป็นเมืองใหม่ และให้ย้ายครัวมอญ เมืองประทุมธานีลงมาอยู่ รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดฯให้ สมิงทองสา บุตรของพระยามหาโยธา (เจ่ง) เป็น “พระยานครเขื่อนขันธ์ รามัญ ราชชาติ เสนาบดี ศรีสิทธิสงคราม” ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ ทรงโปรดฯให้เปลี่ยนนามเมืองนครเขื่อนขันธ์ เป็นจังหวัดพระประแดง และในรัชกาลที่ 7 ทรงโปรดฯ ให้ยุบจังหวัดนี้เป็นอำเภอ-พระประแดง เมื่อ พ.ศ. 2475 มาจนทุกวันนี้
อนึ่ง “บุษบกยอดปรางค์” ที่อยู่วัดไพชยนต์พลเสพย์นี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระที่นั่งขึ้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งพระองค์อัญเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2330 เมื่อสร้างเสร็จแล้วพระราชทานนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ มีเรื่องปรากฏว่า เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สวรรคตแล้ว เวลานั้นตำแหน่งวังหน้ายังว่างอยู่การพิทักษ์รักษาในวังหน้าหละหลวม ถึงมีผู้ร้ายขึ้นลักเครื่องบูชาในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดให้เชิญพระพุทธสิหิงค์กับพระพุทธรูปอื่น ๆ พร้อมทั้งสิ่งของอันเป็นพุทธบูชา เอาลงมาไว้ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ปรากฏในจดหมายเหตุครั้งรัชกาลที่ 1 ว่าตั้งไว้บนฐานชุกชีทางด้านใต้) แต่บุษบกยอดปรางค์นั้นยังอยู่ในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จนสิ้นรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 2 ไม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์กลับไปไว้ในวังหน้า บุษบกนั้นตั้งว่างอยู่เปล่า ๆ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ในรัชกาลที่ 2 จึงโปรดฯให้ย้ายเอาไปไว้ที่อื่น แล้วตั้งพระแท่นเศวตรฉัตรแทนบุษบกนั้นในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ทรงใช้เป็นที่เสด็จออกแขกเมืองและพระสงฆ์ถวายพระธรรมเทศนาแทน ครั้นเมื่อพระราชวังบวร รัชกาลที่ 2 สวรรคต จึงใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพไว้ในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์นั้น พอถึงรัชกาลที่ 3 กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงปฏิสังขรณ์พระราชมณเฑียรของเดิมทั่วไป จึงโปรดฯ ให้เอาบุษบกยอดปรางค์นั้นไปตั้งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานที่พระอุโบสถ วัดที่พระ-องค์ได้ทรงสร้างขึ้นในคลองปากลัด เมืองนครเขื่อนขันธ์ แต่เมื่อยังเป็นเจ้าต่างกรมอยู่ในรัชกาลที่ 2 สังเกตดูบุษบกนั้นเป็นฝีมือช่างชั้นหลังปะปนของเดิมอยู่ สันนิษฐานว่า เห็นจะทอดทิ้งจนชำรุดทรุดโทรมมาก กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 ไปทอดพระเนตรเห็นทรงสังเวชพระหฤทัยจึงโปรดฯ ให้เอาไปถวายเป็นพุทธบูชา (เมื่อทรงปฏิสังขรณ์วังหน้าเสร็จแล้ว จึงทรงเปลี่ยนนามพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็น “พระที่นั่งพุทไธสวรรย์” เพื่อให้นามคล้องกันกับพระที่นั่งองค์อื่น คือ “พระที่นั่งสันตพิมาน พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ พระที่นั่งประเมศธาดา พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระที่นั่งสวรรค์จุฬาโลก และพระที่นั่งศิวโมกข์วิมาน) พอมาถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอม-เกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้แห่พระพุทธสิหิงค์จากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กลับไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ตามเดิมตราบจนกระทั่งทุกวันนี้