TBS234
พระบูชา พระประธานยิ้มรับฟ้า
วัดระฆังโฆสิตาราม
เสริมสิริมงคล ประสบความสำเร็จ
อนุสรณ์ ๑๒๒ ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรํงสี)
พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ อุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๗
หน้าตัก 9 นิ้ว
ฐานกว้าง 14.5 นิ้ว
สูงจากฐาน ถึง ปลายพระเกศ 19.5 นิ้ว
เนื้อทองเหลืองปิดทอง
ประวัติวัดระฆังโฆสิตาราม และ พระประธานยิ้มรับฟ้า
วัดระฆังโฆสิตาราม" เดิมเรียกว่า วัดบางหว้าใหญ่ เป็นวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ปีพุทธศักราช 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงประกาศอิสรภาพของไทยกลับคืนมาได้ และเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พร้อมกับตั้งพระนครหลวงขึ้นใหม่เรียกว่า กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พุทธศักราช 2311
พุทธศักราช 2312 หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงใฝ่พระทัยเป็นธุระในพระพุทธศาสนา พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ยกวัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเดิมเป็นวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวง
พร้อมกับทรงมีพระราชปรารภว่า พระไตรปิฎกคงกระจัดกระจายเสียหายเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า เพราะพม่าได้เผาบ้านเมืองและวัดวาอารามพินาศลง จึงมีพระราชประสงค์รวบรวมชำระสอบทานพระไตรปิฎกนั้นให้ถูกต้องครบถ้วนตามเดิม และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อให้สมเด็จพระสังฆราช(สี) และพระเถรานุเถระ สังคายนาจนสำเร็จสมบูรณ์ตามพระราชประสงค์ในวัดนี้
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้พระสงฆ์วัดนี้เข้ารับบิณฑบาตในพระราชวังผลัดเวรกับวัดโพธาราม
อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระราชประสงค์จะปฏิสังขรณ์ปรับปรุงวัดให้มั่นคงสวยงามยิ่งขึ้น จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สืบถามเรื่องระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ ซึ่งเป็นระฆังที่มีเสียงไพเราะยิ่งนัก ขุดได้ทางทิศพายัพของพระอุโบสถหลังเก่า
เพราะเหตุแห่งการขุดระฆังได้ จึงได้ชื่อตามที่ประชาชนเรียกว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นมา
นอกจากนี้ วัดระฆังยังได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ทั่งพระอาราม โดยสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 1 คือ สมเด็จกรมพระยาเทพสุดาวดีอีกด้วย
สมัยต่อมาวัดระฆังได้รับความสนใจในการสร้างและปฏิสังขรณ์จากเจ้านายในวังหลังเป็นประจำ และพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ทรงโปรดพระราชทาน การอุปถัมภ์บำรุงรักษาสืบต่อมา จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
เนื่องจากวัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช(สี) ซึ่งเป็นปฐมต้นบรมสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชนทุกชั้นในรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบันเคยประทับอยู่ที่วัดนี้ จึงทำให้ประชาชนรู้จักชื่อวัดระฆังกันเป็นอย่างดี
พระประธานของวัดระฆังโฆสิตาราม เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ วัสดุเนื้อทองสำริดลงรักปิดทอง หน้าตักกว้างประมาณ 4 ศอก ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก 3 องค์ นั่งประนมมือดุจรับพระพุทธโอวาท กั้นด้วยเศวตฉัตร 9 ชั้น เดิมเป็นฉัตรกั้นพระเมรุของรัชกาลที่ 1 ซึ่งพระองค์ทรงขอให้นำไปถวายพระประธานวัดระฆังฯ เมื่อ พ.ศ.2352
ต่อมารัชกาลที่ 6 ทรงเปลี่ยนเศวตฉัตรจากผ้าตาดขาว มาเป็นผ้าขาวลายฉลุปิดทอง โดยใช้โครงของเก่า และมีการเปลี่ยนผ้าอีกครั้งใน พ.ศ.2504 โดยรัชกาลปัจจุบัน
พระประธานของวัดระฆังโฆสิตาราม องค์นี้ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก
มีเรื่องเล่าขานสืบมาว่า ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม
ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆังฯ พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที"
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงโปรดฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ เป็นการแสดงถึงพระราชหฤทัยเคารพเลื่อมใสในพระพุทธปฏิมากรอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม พระพุทธรูปประธานวัดระฆังโฆสิตารามองค์นี้ไม่มีพระนาม แต่นับแต่มีพระราชกระแสดังกล่าว จึงได้รับการเรียกขานพระนามว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า"
วัดระฆัง นับเป็นวัดที่มีความสำคัญสืบเนื่องจากกรุงธนบุรีมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระประชวรใกล้เสด็จสวรรคต มีพระราชดำรัสสั่งให้นำพระเศวตฉัตรที่กั้นพระบรมโกศไปถวายพระประธานวัดระฆัง
แต่พระประธานองค์ที่ได้รับพระราชทานพระเศวตฉัตรนั้น เป็นคนละองค์กับพระประธานยิ้มรับฟ้าองค์ปัจจุบัน เดิมพระประธานของวัดระฆังฯ เป็นพระพุทธรูปศิลาองค์เล็ก เมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดระฆังครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างพระอุโบสถใหม่ประดิษฐานพระประธานองค์ใหม่ แล้วโปรดให้นำพระเศวตฉัตรที่กั้นพระประธานในพระอุโบสถเก่ามากั้นถวายพระประธานองค์ใหม่ด้วย
ส่วนพระประธานองค์เก่า ภายหลังได้มีการพอกปูนให้มีขนาดใหญ่ขึ้นขึ้น ประดิษฐานไว้ในพระวิหาร คือ พระอุโบสถหลังเดิม